วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ซับน้ำตาด้วยดอกไม้

เพราะมีความผิดหวัง ความสมหวังจึงมีค่า
เพราะมีอุปสรรค ความสำเร็จจึงมีความหมาย
เพราะมีความพ่ายแพ้ ชัยชนะจึงหอมหวาน
เพราะมีความโศกเศร้า  ...ดอกไม้กับสิ่งสวยงามบนโลกนี้ ได้ทำหน้าที่

ถ้าเราจะผิดหวัง จะพบอุปสรรค จะพ่ายแพ้ จะโศรกเศร้าบ้าง ก็ปล่อยมันไป เพราะความสำเร็จกินสิ่งเหล่านี้เป็นอาหาร ยิ่งพบมากเท่าไรก็ยิ่งใกล้ความสำเร็จมากเท่านั้น  .... แต่อย่ากินมากไปล่ะ มันจะอ้วน


หากว่าเราต้องพ่ายแพ้ ก็อย่าไปคิดเรื่องเดิมให้มันปวดใจ ซ่อนเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็นความพ่ายแพ้

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แม่

แม่คือทุกอย่าง แม่คือคนให้ชีวิต แม่คือคนสร้างโลก งานของแม่ที่มีต่อลูกไม่เคยเสร็จ ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องจนตายจากกัน งานของแม่ก็ยังไม่เสร็จ ยังมีอะไรมากมายที่อยากทำให้ลูกอีกมากมาย 







วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วัดชลอ ที่กินที่เที่ยวที่เดียวกัน กับ มหัศจรรย์โบสถ์เรือสุพรรณหงส์ใหญ่ที่สุดในโลก


         
ดินแดนประวัติศาสตร์ร่วม
จังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี อยุธยา สุพรรณบุรี นนทบุรี ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ห้าจังหวัดนี้มีประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องกันและร่วมกันอยู่เรื่อยๆเพราะมีเขตแดนติดต่อกัน โดยเฉพาะจังหวัดนนทบุรีถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยายังไม่ได้รับการสถาปนาเป็นราชธานีเลยครับ ชาวเมืองอู่ทอง(อยุธยา)ใช้จังหวัดนนทบุรีนี่แหละครับเป็นสถานที่หนีโรคระบาด หนีภัยสังคราม หนีไปหนีมาสุดท้ายไม่กลับอู่ทองแล้วครับ ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่กันเลย
นนทบุรีได้รับการยกฐานะเป็นเมืองในปี พ.ศ 2092 สมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ หลังจากที่ไทยเราสูญเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัยในสงครามกับไทย-พม่า ไทยเราก็มีการวางระบบป้องกันภัยสงครามกันใหม่ มีการยกระดับหลายสถานที่ขึ้นเป็นเมืองครับ
ในห้าจังหวัดนั้น แต่ละจังหวัดจะมีการสร้างวัด สร้างวัตถุมงคล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องลางของขลังที่มีชื่อเสียงเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกัน 
ในฐานะที่ผมเป็นคนจังหวัดนนทบุรีแม้ไม่ได้เป็นโดยกำเนิดแต่ก็มาอยู่ที่นนท์เกิน 20 ปีแล้ว วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยววัดๆหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี แต่พาไปชมความสวยงามนะครับ ไม่ได้พาไปรู้จักเครืองรางของขลังอะไรหรอก ซึ่งความจริงวัดที่ผมจะพาไปก็มีดีในเรื่องนี้เหมือนกันครับ เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังนะครับ วัดที่ผมจะพาไปรู้จัก คือวัดชลอครับ  

เอาป้ายประวัติของวัดมาให้อ่านกันชัดๆครับ


โบสถ์เเก่าสักษณะเป็นเรือสำเภาโบราณ
ความเป็นมาของวัดชลอ
                ตั้งอยู่ที่ ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 
                มีความเป็นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  เมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ( ครองราชย์ พ.ศ. 2275 – 2301 เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 31 แห่งกรุงศรีอยุธยา ) เสด็จทางชลมารค มาตามลำน้ำเจ้าพระยาผ่านนนทบุรี มาถึงคลองลัด ปัจจุบันเรียกว่าคลองบางกรวย ทรงมีความเห็นว่าสถานที่ตรงนี้ควรจะมีการสร้างวัดเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนแถบนั้น แต่ได้รับการทูลคัดค้านจากเสนาอำมาตย์ว่า สถานที่แห่งนี้มีอาถรรพ์ เพราะตรงจุดนี้เรือสำเภาของจีนที่เดินทางมาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาล่มลงบริเวณนี้ ลูกเรือตายเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่นั้นมาสถานที่แห่งนี้ก็มีอาถรรพ์มาตลอด ประชาชนอยู่ไม่มีความสุข ทำมาค้าขายไม่ขึ้น
                พระองค์ก็ทรงยืนกรานให้สร้างอยู่ดี เพราะจะได้ทำลายอาถรรพ์นั้นเสีย ระหว่างการก่อสร้างวัดก็ประสบกับปัญหาอุปสรรคต่างๆมากมาย ทหารที่มาทำการก่อสร้างวัดบางส่วนหนีกลับอยุธยาก็มี แต่ในที่สุดก็สร้างจนสำเร็จ คืนนั้นฟ้าก็ผ่าลงมาที่โบสถ์ ทำให้ต้องมีการสร้างกันใหม่ พระองค์ทรงเสี่ยงสัตยาธิษฐานต่อเทพยาดาฟ้าดินขอให้ทำการสร้างวัดให้สำเร็จ ก็ทรงสุบินเห็นชายชราชาวจีนมาทูลให้พระองค์สร้างพระอุโบสถเป็นรูปเรือสำเภาเพื่อเป็นการแก้เคล็ด  พระองค์ก็โปรดให้สร้างพระอุโบสถเป็นเรือสำเภา ทุกอย่างจึงเรียบร้อยลงด้วยดี

                แต่วัดชลอก็เหมือนต้องคำสาป คือเป็นวัดร้างมาตลอดจนมาถึงรัชกาลที่ 3 จึงได้มีภิกษุมาจำพรรษา วัดจึงได้รับการพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้


โบสถ์หลังเก่าที่เป็นเรือสำเภา ได้รับการบูรณะใหม่แล้ว

โบสถ์หลังเก่ามองลงมาจากตอนท้ายของโบสถ์เรือสุพรรณหงส์
ถึงจุดนี้ผู้เขียนอยากอธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะครับ เผื่อจะช่วยเพิ่มรสชาติในการไปเที่ยวครับ มีความคิดเห็นและคาดการณ์ส่วนตัวแทรกเข้าไปด้วยนะครับ  โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านด้วยครับ
                ตรงเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จถึงคลองลัด ปัจจุบันเรียกว่าคลองบางกรวยน่ะครับ คำว่าคลองลัด คือคลองที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯให้ขุดขึ้นเป็นทางลัดของแม่น้ำเจ้าพระยาครับ สมัยกรุงศรีอยุธยาการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติใช้เส้นทางเรือเกือบทั้งหมดครับ มาทางทะเลแล้วก็ใช้แม่น้ำเจ้าพระยาล่องเรือไปค้าขายที่กรุงศรีอยุธา  บางช่วงแม่น้ำเจ้าพระยาไหลโค้งไปโค้งมา ก็ขุดคลองลัดให้เป็นเส้นตรงจะได้ประหยัดเวลาการเดินทาง พอขุดคลองเสร็จกระแสน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไหลเปลี่ยนทิศครับ จากคลองที่ขุดใหม่ก็ถูกกระแสน้ำเซาะกลายเป็นแม่น้ำใหญ่ ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมน้ำไหลผ่านน้อยกลายเป็นคลอง

 คลองลัดหรือคลองบางกรวยนี้ ขุดขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ( ครองราชย์ช่วงปี พ.ศ. 2091 – 2112 กษัตริย์องค์ที่ 15 แห่งกรุงศรีอยุธยา ) ตัดลัดจากวัดชะลอไปออกที่วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก) ปัจจุบันคลองบางกรวย กลับมาเป็นคลองเหมือนเดิมแล้ว เพราะมีการขุดคลองลัดเส้นใหม่อีกจุดหนึ่งในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ทำให้กระแสน้ำไหลเปลี่ยนทิศกลับอีกครั้ง  และถือว่าคลองบางกรวยเป็นส่วนหนึ่งของคลองบางกอกน้อยครับ ผมกลัวว่าทุกท่านพอไปถึงวัดและได้เห็นคลองผ่านวัดแล้วจะสงสัยว่า คลองนิดเดียวเรือสำเภอจีนมาล่มได้ยังไงนะครับ
คลองบางกรวย ปัจุบัน เป็นส่วนหนี่งของคลองบากกอกน้อย

โบสถ์เรือสำเภาหมายถึงพื้นฐานรากแอ่นโค้งแบบเรือสำเภา


อีกจุดหนึ่งครับ ตรงที่โปรดให้สร้างโบสถ์เป็นเรือสำเภานะครับ คำว่าโบสถ์เรือสำเภาไม่ใช่สร้างเป็นรูปเรือสำเภาทั้งหลังนะครับ เฉพาะส่วนฐานรากของตัวโบสถ์ครับ คือสร้างให้แอ่นโค้งที่เรียกว่า แบบท้องเรือสำเภา ครับ  พอไปถึงมองหาโบสถ์เรือสำเภาไม่เห็นจะมาต่อว่ากันไม่ได้นะครับ โบสถ์ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่หลายครั้ง จนเหลือเค้าโครงของเดิมน้อยแล้วครับ

และสุดท้าย ต้องที่วัดต้องคำสาปเป็นวัดร้างมานาน จนถึงรัชกาลที่ 3 จึงมีพระมาจำพรรษานะครับ  ตรงนี้ถ้าเราจำประวัติศาสตร์การเสียกรุงครั้งที่ 2 ได้ ก็จะเข้าใจง่ายขึ้นครับ คือหลังจากสิ้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ผู้ทรงสร้างวัดชลอ อีก 9 ปีต่อมา คือปี พ.ศ. 2310 ไทยเราก็เสียกรุงศรีให้แก่พม่าครับ พม่าเผากรุงศรี กวาดต้อนชาวไทยไปเป็นเชลยเยอะมากครับ ที่หนีรอดก็หลบซ่อนอยู่ตามป่า 
แม้พม่ายกทัพกลับไปแล้ว แต่ไม่กลับทั้งหมดครับ ยังคงกองกำทหารไว้บางส่วนเพื่อปกครองประเทศไทย ตอนนั้นประเทศไทยคล้ายๆขาดรัฐบาลบริหารประเทศเลยครับ มีการตั้งก๊กตั้งเหล่าขึ้นมาเป็นใหญ่กันมากมาย ลองหลับตานึกดูเถอะครับว่าประเทศไทยของเราอยู่ในสภาพไหนในช่วงเวลานั้น ไม่ร้างเฉพาะวัดนะครับ แต่เกือบจะร้างทั้งประเทศ ถึงจุดนี้ผมก็เกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า แล้วไทยเรารอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ยังไง ใครเป็นคนทำให้ไทยกับมามีเอกราชเหมือนเดิม ใครเป็นคนทำให้ประเทศของเราสงบเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ จนทำให้วัดที่ร้างกลับมามีพระสงฆ์จำพรรษาได้ดั่งเดิม 

วันธรรมดา ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เห็นครับ


ปัจจุบันอุโบสถหลังเก่า (เรือสำเภอ) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติแล้ว เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2522
โบสถ์เก่าเรือสำเภาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว


กำเนิดโบสถ์เรือสุพรรณหงส์ใหญ่ที่สุดในโลก

            หลังจากที่วัดชลอมีพระมาจำพรรษา ก็มีเจ้าอาวาสปกครองบริหารพัฒนาวัดสืบเนื่องกันมาหลายรูป จนถึงรูปที่ 10 คือหลวงพ่อวัดชะลอ หรือท่านพระครูนนทปัญญาวิมล หลวงพ่อรูปนี้ท่านทรงอภิญญาบารมีสามารถรักษาโรคร้ายไซนัสได้หายอย่างเด็ดขาด มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประชาชนญาติโยมศรัทธาเป็นจำนวนมาก ใครเป็นโรคไซนัสก็จะมาพึ่งบารมีของหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อรักษาให้ ก็หายขาดทุกรายไป
โบสถ์เรือสุพรรณหงส์ใหญ่ที่สุดในโลก

หลังใหญ่มากครับ น้องๆสนามฟุตบอลเลย



















                ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าได้นิมิตเห็นเรือสุพรรณหงส์ลอยมาจอดอยู่หน้าโบสถ์หลังเก่า จึงคิดอยากจะสร้างเรือสุพรรหงส์ไว้ที่หน้าโบสถ์หลังเก่า แต่ต่อมาหลวงพ่อคิดว่าถ้าสร้างเฉพาะเรือจะไม่คุ้มค่าเงินที่ใช้จ่ายในการก่อสร้าง จึงคิดสร้างเป็นโบสถ์เลยจะดีกว่า จะได้ใช้ประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนาได้มาก จึงให้บรรดาลูกศิษย์ช่วยกันออกแบบโบสถ์เรือสุพรรณหงส์ออกแบบแล้วเสร็จในปี พ.ศ 2525 แล้วเริ่มลงมือก่อสร้างในปีต่อมา คือปี พ.ศ. 2526  ถึงวันนี้ก็ 31 ปีแล้ว โบสถ์ยังสร้างไม่เสร็จครับ สร้างไปได้ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ คงเหลือการประดับตกแต่งติดกระเบื้องสี ลงรักปิดทอง เป็นต้น


โบสถ์เรือสุพรรณหงส์ มองจากโบสถ์หลังเก่า

เรือสุพรรณหงส์จอดหน้าโบสถ์หลังเก่า ในนิมิตของหลวงพ่อ

                นอกจากตัวโบสถ์ที่เป็นรูปเรือสุพรรหงส์ที่สวยงามแล้ว โบสถ์นี้ยังมีเรืออนัตนาคราช 2 ลำ เป็นบริวาร ด้านหัวเรืออนันตนาคราชเป็นพญานาค 7 เศียรพ่นน้ำได้ ใช้เป็นที่ประดิษฐานซุ้มพัทสีมาและฝังลูกนิมิตจำนวน 3 ลูก
                เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะขุดสระล้อมรอบเรือทั้งสามลำ ทำให้ดูเหมือนว่าเรือทั้งสามลำลอยน้ำอยู่ ภายในตัวโบสถ์มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีดำเป็นประธาน ท่านชื่อว่า “ หลวงพ่อดำ “ ศักดิ์สิทธิ์มากใครมาก็ต้องขึ้นไปกราบไหว้บูชากันล่ะครับ ฝาผนังของโบสถ์ได้รับการวาดเป็นจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติ

                ทุกท่านลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าโบสถ์เรือสุพรรหงส์เสร็จสมบูรณ์จะงดงามขนาดไหน หลวงพ่อวัดชลอผู้สร้างโบสถ์หลังนี้ท่านมองการณ์ไกลมากครับ คือนอกจากจะใช้สอยในกิจของพุทธศาสนาแล้ว ท่านยังต้องการให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวไทยและชาวต่างประเทศ สร้างไว้ให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป


ที่เห็นกำลังก่อสร้างคือ เศียรพญานาค 7 เศียรครับ

เรือสุพรรณหงส์ใหญ่โตวิจิตรงดงามมากครับ 

ขนาดยังสร้างไม่เสร็จ ก็สวยงามแล้ว

 สระน้ำรอบตัวเรือขุดเสร็จแล้วครับ

ที่เห็นมณฑปหน้าโบสถ์ คือช่องบันไดที่เดินขึ้นมาจากชั้นล่างครับ


ด้านหัวเรือติดถนนด้านหน้าวัด ด้านท้ายเรือก็เกือบติดคลองหลังวัดครับ
หลวงพ่อดำ องค์หลังสุดครับ พระประธานประจำโบสถ์

เลียวซ้ายแลขวาไม่มีใคร ผู้เขียนเลยหยิบขาตั้งกล้องขนาดเล็กขึ้นมาเก็บภาพตัวเองไว้ กราบพระแล้วสบายใจครับ แม้จะร้อนเพราะเดินตากแดดถ่ายรูปเกือบสองชั่วโมง 

ตลาดน้ำวัดชลอ

                พาเดินเที่ยวชมรอบวัดแล้ว ก็ได้เวลาพาไปหาอะไรกินกันแล้วครับ เดินกลับมาที่โบสถ์หลังเก่า (โบสถ์เรือสำเภา) ตลาดน้ำจะอยู่ขวามือครับ อยู่ติดกับลำคลองเลย ถ้าเรามาวัดชลอทางเรือ ท่าเรือจะอยู่หน้าตลาดน้ำเลยครับมีของกินอร่อยๆหลายอย่างเลย
ท่าเรือวัดชลอ ถ้าเราขึ้นเรือมาขวามือไปชมโบสถ์ ซ้ายมือไปตลาดน้ำครับ

วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตลาดน้ำจะคึกคักมาก มีของมาขายเยอะมาก เช่น เครื่องปั้นดินเผา ทุเรียน พันธ์ไม้ดอกไม้ประดับ และของที่ระลึกอื่นๆเอีกมากมาย
และถ้าเป็นของกินไม่ต้องห่วงนะครับ คล้ายๆศูนย์อาหารเลยมีให้เลือกหลากหลายชนิด หอยทอด ผัดไทย ขนมเบื้อง หมูสะเต๊ะ โอเลี้ยงกาแฟโบราณ แนะนำนะครับ ลองหาอาหารที่มีเครื่องปรุงมาจากผักหน่อกะลาเป็นส่วนผสมครับ เป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนนทบุรีครับ เช่นทอดมันหน่อกะลา ทุกอย่างอร่อยๆทั้งนั้นครับ มีทั้งแบบตั้งอยู่เป็นซุ้มอยู่บนบก และที่พายเรือมาขายก็มี

วันที่ผมไปเป็นวันธรรมดาครับ คนน้อยมาก ร้านก็เปิดไม่ครบทุกร้าน แต่ก็ได้บรรยากาศสบายๆ ทานไปชมวิวทิวทัศน์ลำคลอง มองเรือวิ่งผ่านไปผ่านมา มองดูคนมาให้อาหารปลา ปลาเยอะมาก หน้าวัดเป็นเขตอภัยทานครับ ซึ่งผมจะชอบแบบวันธรรมดามากกว่า เงียบสงบดี แม่ค้าอัธยาศัยดีมากครับ พูดคุยกับเราเป็นกันเอง 
วันธรรมดาคนจะน้อยครับ แต่ก็มีมาเรื่อยๆ

ถ้าเป็นเสาร์ อาทิตย์ วันนักขัตฤกษ์ คนจะเยอะมาก วันนี้คนน้อย

ผัดไทยร้านนี้อร่อยมาก ขายทุกวันครับ มีโอกาสลองชิมดูนะครับ

มีแบบพายเรือมาขายด้วยนะ ได้บรรยากาศอีกแบบ 
ผมไปร้านท้ายสุดของตลาด ลองก๋วยเตียวเรืออยุธา อร่อยมาก

วันธรรมดา บรรยากาศสบายๆ พูดแล้วอยากกลับไปอีกครับ
กวีเด่นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นพูดถึงวัดชลอ
                กวีที่มีชื่อเสียงหลายท่านในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้อน เมื่อต้องเดินทางผ่านวัดชะลอก็มักจะแต่งกลอนกล่าวถึงวัดชลอนี้ไว้ครับ แต่งเป็นกลอนแบบนิราศ โดยเฉพาะนิราศพระประธม มีแต่งด้วยกัน 3 ท่าน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท แต่งเมื่อปี พ.ศ 2377  สุนทรภู่แต่งเมื่อปี พ.ศ. 2375  และหลวงประจักรปาณี (ฤกษ์) แต่งปี พ.ศ 2417
                กวีทุกท่านจะเดินทางโดยเรือครับ เริ่มจากที่กรุงเทพ ที่ท่าเรือใกล้บ้าน แล้วมาทางคลองบางกอกน้อย คลองวัดชะลอ เข้าคลองแม่น้ำอ้อม จนถึงบางใหญ่ ไปออกแม่น้ำนครชัยศรี ขึ้นบกที่วัดท่า เพื่อไปกราบไหว้องค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ครับ
                ผมขอยกของ สุนทรภู่ มาอ่านให้ทุกท่านฟังแล้วกันนะครับ เอาเฉพาะตอนที่กล่าวถึงวัดชลอนะครับ จะได้ช่วยย่อยอาหารไปในตัว  หมดแล้วเดี๋ยวสั่งใหม่ได้ครับ กินได้เต็มที่ราคาไม่แพง 
                วัดชลอใครหนอชลอฉลาด
                เอาอาวาสมาไว้อาศัยสงฆ์
                ช่วยชลอวรรักษ์พี่รักทรง
                ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน

ผมเองก็พอแต่งกลอนได้บ้าง ถึงแม้จะไม่ไพเราะเท่านักกลอนท่านอื่นๆ แต่ไหนๆก็ได้มีโอกาสมาไหว้พระถ่ายรูปวัดชลอนี้แล้ว ขอฝากกลอนนี้ไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเราได้เคยมาที่วัดชลอแห่งนี้ครับ
                วัดชลอใครหนอฉลาดเป็นปราชญ์ขลัง
                เอาโบสถ์สวยหลังใหญ่ใส่เรือหงส์
                ช่างงดงามล้ำค่าสง่าองค์
                เป็นพระคงเคร่งกสิณอภิญญา

วัดชลอใครหนอชะลอไว้
โบสถ์หงส์ใหญ่สร้างค้างน่ากังขา
วอนขุนเขาเหล่าเทพปวงเทวา
ช่วยลงมาเปิดทางสร้างสมบูรณ์
มีรถสองแถวต้นสายอยู่ที่วัดชลอด้วยนะครับ 

เรือโดยสารผ่านวัดชลอ

การเดินทางสูวัดชลอ
                การเดินทางมาวัดชะลอ สะดวกมากครับ มาได้ทั้งทางบกและทางน้ำ  ผมเองบ้านอยู่ท่าอิฐ วันที่ผมเดินทางจึงใช้ถนนรัตนาธิเบศร์ พอถึงแยกบางพลูเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบางกรวย ไทรน้อย วัดชลออยู่ขวามือครับ
                ทางน้ำ ลงเรือที่ท่าช้างครับ เลือกเรือสายท่าช้าง บางกอกน้อย บางใหญ่  ขึ้นเรือที่ท่าวัดชลอครับ  ถ้าท่านใดมาทางน้ำได้จะดีมาก เพราะได้ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านสองฝั่งริมคลองมาเรื่อยๆครับ ไม่แน่นะครับ ผมอาจจะได้อ่านนิราศเพราะๆจากท่านที่เดินทางมาทางเรือก็ได้ เพราะกวีเด่นๆในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ใช้เส้นทางนี้แหละครับ
มาเที่ยวกันเยอะๆนะครับ
                แม้ว่าวันนี้โบสถ์เรือสุพรรณหงส์ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็งดงามมากแล้วครับ ผมพบว่าวัดชลอแห่งนี้เป็นวัดที่น่าเที่ยวที่สุดวัดหนึ่งของจังหวัดนนทบุรีเลยครับ เพราะได้ทั้งอิ่มใจจากการชมสถานที่ไหว้พระทำบุญ ยังอิ่มกายจากอาหารอร่อยๆของตลาดน้ำวัดชะลอ เรียกว่าที่กินที่เที่ยวที่เดียวจริงๆ