วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ซับน้ำตาด้วยดอกไม้

เพราะมีความผิดหวัง ความสมหวังจึงมีค่า
เพราะมีอุปสรรค ความสำเร็จจึงมีความหมาย
เพราะมีความพ่ายแพ้ ชัยชนะจึงหอมหวาน
เพราะมีความโศกเศร้า  ...ดอกไม้กับสิ่งสวยงามบนโลกนี้ ได้ทำหน้าที่

ถ้าเราจะผิดหวัง จะพบอุปสรรค จะพ่ายแพ้ จะโศรกเศร้าบ้าง ก็ปล่อยมันไป เพราะความสำเร็จกินสิ่งเหล่านี้เป็นอาหาร ยิ่งพบมากเท่าไรก็ยิ่งใกล้ความสำเร็จมากเท่านั้น  .... แต่อย่ากินมากไปล่ะ มันจะอ้วน


หากว่าเราต้องพ่ายแพ้ ก็อย่าไปคิดเรื่องเดิมให้มันปวดใจ ซ่อนเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็นความพ่ายแพ้

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แม่

แม่คือทุกอย่าง แม่คือคนให้ชีวิต แม่คือคนสร้างโลก งานของแม่ที่มีต่อลูกไม่เคยเสร็จ ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องจนตายจากกัน งานของแม่ก็ยังไม่เสร็จ ยังมีอะไรมากมายที่อยากทำให้ลูกอีกมากมาย 







วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วัดชลอ ที่กินที่เที่ยวที่เดียวกัน กับ มหัศจรรย์โบสถ์เรือสุพรรณหงส์ใหญ่ที่สุดในโลก


         
ดินแดนประวัติศาสตร์ร่วม
จังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี อยุธยา สุพรรณบุรี นนทบุรี ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ห้าจังหวัดนี้มีประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องกันและร่วมกันอยู่เรื่อยๆเพราะมีเขตแดนติดต่อกัน โดยเฉพาะจังหวัดนนทบุรีถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยายังไม่ได้รับการสถาปนาเป็นราชธานีเลยครับ ชาวเมืองอู่ทอง(อยุธยา)ใช้จังหวัดนนทบุรีนี่แหละครับเป็นสถานที่หนีโรคระบาด หนีภัยสังคราม หนีไปหนีมาสุดท้ายไม่กลับอู่ทองแล้วครับ ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่กันเลย
นนทบุรีได้รับการยกฐานะเป็นเมืองในปี พ.ศ 2092 สมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ หลังจากที่ไทยเราสูญเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัยในสงครามกับไทย-พม่า ไทยเราก็มีการวางระบบป้องกันภัยสงครามกันใหม่ มีการยกระดับหลายสถานที่ขึ้นเป็นเมืองครับ
ในห้าจังหวัดนั้น แต่ละจังหวัดจะมีการสร้างวัด สร้างวัตถุมงคล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องลางของขลังที่มีชื่อเสียงเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกัน 
ในฐานะที่ผมเป็นคนจังหวัดนนทบุรีแม้ไม่ได้เป็นโดยกำเนิดแต่ก็มาอยู่ที่นนท์เกิน 20 ปีแล้ว วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยววัดๆหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี แต่พาไปชมความสวยงามนะครับ ไม่ได้พาไปรู้จักเครืองรางของขลังอะไรหรอก ซึ่งความจริงวัดที่ผมจะพาไปก็มีดีในเรื่องนี้เหมือนกันครับ เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังนะครับ วัดที่ผมจะพาไปรู้จัก คือวัดชลอครับ  

เอาป้ายประวัติของวัดมาให้อ่านกันชัดๆครับ


โบสถ์เเก่าสักษณะเป็นเรือสำเภาโบราณ
ความเป็นมาของวัดชลอ
                ตั้งอยู่ที่ ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 
                มีความเป็นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  เมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ( ครองราชย์ พ.ศ. 2275 – 2301 เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 31 แห่งกรุงศรีอยุธยา ) เสด็จทางชลมารค มาตามลำน้ำเจ้าพระยาผ่านนนทบุรี มาถึงคลองลัด ปัจจุบันเรียกว่าคลองบางกรวย ทรงมีความเห็นว่าสถานที่ตรงนี้ควรจะมีการสร้างวัดเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนแถบนั้น แต่ได้รับการทูลคัดค้านจากเสนาอำมาตย์ว่า สถานที่แห่งนี้มีอาถรรพ์ เพราะตรงจุดนี้เรือสำเภาของจีนที่เดินทางมาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาล่มลงบริเวณนี้ ลูกเรือตายเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่นั้นมาสถานที่แห่งนี้ก็มีอาถรรพ์มาตลอด ประชาชนอยู่ไม่มีความสุข ทำมาค้าขายไม่ขึ้น
                พระองค์ก็ทรงยืนกรานให้สร้างอยู่ดี เพราะจะได้ทำลายอาถรรพ์นั้นเสีย ระหว่างการก่อสร้างวัดก็ประสบกับปัญหาอุปสรรคต่างๆมากมาย ทหารที่มาทำการก่อสร้างวัดบางส่วนหนีกลับอยุธยาก็มี แต่ในที่สุดก็สร้างจนสำเร็จ คืนนั้นฟ้าก็ผ่าลงมาที่โบสถ์ ทำให้ต้องมีการสร้างกันใหม่ พระองค์ทรงเสี่ยงสัตยาธิษฐานต่อเทพยาดาฟ้าดินขอให้ทำการสร้างวัดให้สำเร็จ ก็ทรงสุบินเห็นชายชราชาวจีนมาทูลให้พระองค์สร้างพระอุโบสถเป็นรูปเรือสำเภาเพื่อเป็นการแก้เคล็ด  พระองค์ก็โปรดให้สร้างพระอุโบสถเป็นเรือสำเภา ทุกอย่างจึงเรียบร้อยลงด้วยดี

                แต่วัดชลอก็เหมือนต้องคำสาป คือเป็นวัดร้างมาตลอดจนมาถึงรัชกาลที่ 3 จึงได้มีภิกษุมาจำพรรษา วัดจึงได้รับการพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้


โบสถ์หลังเก่าที่เป็นเรือสำเภา ได้รับการบูรณะใหม่แล้ว

โบสถ์หลังเก่ามองลงมาจากตอนท้ายของโบสถ์เรือสุพรรณหงส์
ถึงจุดนี้ผู้เขียนอยากอธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะครับ เผื่อจะช่วยเพิ่มรสชาติในการไปเที่ยวครับ มีความคิดเห็นและคาดการณ์ส่วนตัวแทรกเข้าไปด้วยนะครับ  โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านด้วยครับ
                ตรงเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จถึงคลองลัด ปัจจุบันเรียกว่าคลองบางกรวยน่ะครับ คำว่าคลองลัด คือคลองที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯให้ขุดขึ้นเป็นทางลัดของแม่น้ำเจ้าพระยาครับ สมัยกรุงศรีอยุธยาการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติใช้เส้นทางเรือเกือบทั้งหมดครับ มาทางทะเลแล้วก็ใช้แม่น้ำเจ้าพระยาล่องเรือไปค้าขายที่กรุงศรีอยุธา  บางช่วงแม่น้ำเจ้าพระยาไหลโค้งไปโค้งมา ก็ขุดคลองลัดให้เป็นเส้นตรงจะได้ประหยัดเวลาการเดินทาง พอขุดคลองเสร็จกระแสน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไหลเปลี่ยนทิศครับ จากคลองที่ขุดใหม่ก็ถูกกระแสน้ำเซาะกลายเป็นแม่น้ำใหญ่ ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมน้ำไหลผ่านน้อยกลายเป็นคลอง

 คลองลัดหรือคลองบางกรวยนี้ ขุดขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ( ครองราชย์ช่วงปี พ.ศ. 2091 – 2112 กษัตริย์องค์ที่ 15 แห่งกรุงศรีอยุธยา ) ตัดลัดจากวัดชะลอไปออกที่วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก) ปัจจุบันคลองบางกรวย กลับมาเป็นคลองเหมือนเดิมแล้ว เพราะมีการขุดคลองลัดเส้นใหม่อีกจุดหนึ่งในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ทำให้กระแสน้ำไหลเปลี่ยนทิศกลับอีกครั้ง  และถือว่าคลองบางกรวยเป็นส่วนหนึ่งของคลองบางกอกน้อยครับ ผมกลัวว่าทุกท่านพอไปถึงวัดและได้เห็นคลองผ่านวัดแล้วจะสงสัยว่า คลองนิดเดียวเรือสำเภอจีนมาล่มได้ยังไงนะครับ
คลองบางกรวย ปัจุบัน เป็นส่วนหนี่งของคลองบากกอกน้อย

โบสถ์เรือสำเภาหมายถึงพื้นฐานรากแอ่นโค้งแบบเรือสำเภา


อีกจุดหนึ่งครับ ตรงที่โปรดให้สร้างโบสถ์เป็นเรือสำเภานะครับ คำว่าโบสถ์เรือสำเภาไม่ใช่สร้างเป็นรูปเรือสำเภาทั้งหลังนะครับ เฉพาะส่วนฐานรากของตัวโบสถ์ครับ คือสร้างให้แอ่นโค้งที่เรียกว่า แบบท้องเรือสำเภา ครับ  พอไปถึงมองหาโบสถ์เรือสำเภาไม่เห็นจะมาต่อว่ากันไม่ได้นะครับ โบสถ์ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่หลายครั้ง จนเหลือเค้าโครงของเดิมน้อยแล้วครับ

และสุดท้าย ต้องที่วัดต้องคำสาปเป็นวัดร้างมานาน จนถึงรัชกาลที่ 3 จึงมีพระมาจำพรรษานะครับ  ตรงนี้ถ้าเราจำประวัติศาสตร์การเสียกรุงครั้งที่ 2 ได้ ก็จะเข้าใจง่ายขึ้นครับ คือหลังจากสิ้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ผู้ทรงสร้างวัดชลอ อีก 9 ปีต่อมา คือปี พ.ศ. 2310 ไทยเราก็เสียกรุงศรีให้แก่พม่าครับ พม่าเผากรุงศรี กวาดต้อนชาวไทยไปเป็นเชลยเยอะมากครับ ที่หนีรอดก็หลบซ่อนอยู่ตามป่า 
แม้พม่ายกทัพกลับไปแล้ว แต่ไม่กลับทั้งหมดครับ ยังคงกองกำทหารไว้บางส่วนเพื่อปกครองประเทศไทย ตอนนั้นประเทศไทยคล้ายๆขาดรัฐบาลบริหารประเทศเลยครับ มีการตั้งก๊กตั้งเหล่าขึ้นมาเป็นใหญ่กันมากมาย ลองหลับตานึกดูเถอะครับว่าประเทศไทยของเราอยู่ในสภาพไหนในช่วงเวลานั้น ไม่ร้างเฉพาะวัดนะครับ แต่เกือบจะร้างทั้งประเทศ ถึงจุดนี้ผมก็เกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า แล้วไทยเรารอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ยังไง ใครเป็นคนทำให้ไทยกับมามีเอกราชเหมือนเดิม ใครเป็นคนทำให้ประเทศของเราสงบเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ จนทำให้วัดที่ร้างกลับมามีพระสงฆ์จำพรรษาได้ดั่งเดิม 

วันธรรมดา ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เห็นครับ


ปัจจุบันอุโบสถหลังเก่า (เรือสำเภอ) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติแล้ว เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2522
โบสถ์เก่าเรือสำเภาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว


กำเนิดโบสถ์เรือสุพรรณหงส์ใหญ่ที่สุดในโลก

            หลังจากที่วัดชลอมีพระมาจำพรรษา ก็มีเจ้าอาวาสปกครองบริหารพัฒนาวัดสืบเนื่องกันมาหลายรูป จนถึงรูปที่ 10 คือหลวงพ่อวัดชะลอ หรือท่านพระครูนนทปัญญาวิมล หลวงพ่อรูปนี้ท่านทรงอภิญญาบารมีสามารถรักษาโรคร้ายไซนัสได้หายอย่างเด็ดขาด มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประชาชนญาติโยมศรัทธาเป็นจำนวนมาก ใครเป็นโรคไซนัสก็จะมาพึ่งบารมีของหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อรักษาให้ ก็หายขาดทุกรายไป
โบสถ์เรือสุพรรณหงส์ใหญ่ที่สุดในโลก

หลังใหญ่มากครับ น้องๆสนามฟุตบอลเลย



















                ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าได้นิมิตเห็นเรือสุพรรณหงส์ลอยมาจอดอยู่หน้าโบสถ์หลังเก่า จึงคิดอยากจะสร้างเรือสุพรรหงส์ไว้ที่หน้าโบสถ์หลังเก่า แต่ต่อมาหลวงพ่อคิดว่าถ้าสร้างเฉพาะเรือจะไม่คุ้มค่าเงินที่ใช้จ่ายในการก่อสร้าง จึงคิดสร้างเป็นโบสถ์เลยจะดีกว่า จะได้ใช้ประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนาได้มาก จึงให้บรรดาลูกศิษย์ช่วยกันออกแบบโบสถ์เรือสุพรรณหงส์ออกแบบแล้วเสร็จในปี พ.ศ 2525 แล้วเริ่มลงมือก่อสร้างในปีต่อมา คือปี พ.ศ. 2526  ถึงวันนี้ก็ 31 ปีแล้ว โบสถ์ยังสร้างไม่เสร็จครับ สร้างไปได้ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ คงเหลือการประดับตกแต่งติดกระเบื้องสี ลงรักปิดทอง เป็นต้น


โบสถ์เรือสุพรรณหงส์ มองจากโบสถ์หลังเก่า

เรือสุพรรณหงส์จอดหน้าโบสถ์หลังเก่า ในนิมิตของหลวงพ่อ

                นอกจากตัวโบสถ์ที่เป็นรูปเรือสุพรรหงส์ที่สวยงามแล้ว โบสถ์นี้ยังมีเรืออนัตนาคราช 2 ลำ เป็นบริวาร ด้านหัวเรืออนันตนาคราชเป็นพญานาค 7 เศียรพ่นน้ำได้ ใช้เป็นที่ประดิษฐานซุ้มพัทสีมาและฝังลูกนิมิตจำนวน 3 ลูก
                เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะขุดสระล้อมรอบเรือทั้งสามลำ ทำให้ดูเหมือนว่าเรือทั้งสามลำลอยน้ำอยู่ ภายในตัวโบสถ์มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีดำเป็นประธาน ท่านชื่อว่า “ หลวงพ่อดำ “ ศักดิ์สิทธิ์มากใครมาก็ต้องขึ้นไปกราบไหว้บูชากันล่ะครับ ฝาผนังของโบสถ์ได้รับการวาดเป็นจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติ

                ทุกท่านลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าโบสถ์เรือสุพรรหงส์เสร็จสมบูรณ์จะงดงามขนาดไหน หลวงพ่อวัดชลอผู้สร้างโบสถ์หลังนี้ท่านมองการณ์ไกลมากครับ คือนอกจากจะใช้สอยในกิจของพุทธศาสนาแล้ว ท่านยังต้องการให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวไทยและชาวต่างประเทศ สร้างไว้ให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป


ที่เห็นกำลังก่อสร้างคือ เศียรพญานาค 7 เศียรครับ

เรือสุพรรณหงส์ใหญ่โตวิจิตรงดงามมากครับ 

ขนาดยังสร้างไม่เสร็จ ก็สวยงามแล้ว

 สระน้ำรอบตัวเรือขุดเสร็จแล้วครับ

ที่เห็นมณฑปหน้าโบสถ์ คือช่องบันไดที่เดินขึ้นมาจากชั้นล่างครับ


ด้านหัวเรือติดถนนด้านหน้าวัด ด้านท้ายเรือก็เกือบติดคลองหลังวัดครับ
หลวงพ่อดำ องค์หลังสุดครับ พระประธานประจำโบสถ์

เลียวซ้ายแลขวาไม่มีใคร ผู้เขียนเลยหยิบขาตั้งกล้องขนาดเล็กขึ้นมาเก็บภาพตัวเองไว้ กราบพระแล้วสบายใจครับ แม้จะร้อนเพราะเดินตากแดดถ่ายรูปเกือบสองชั่วโมง 

ตลาดน้ำวัดชลอ

                พาเดินเที่ยวชมรอบวัดแล้ว ก็ได้เวลาพาไปหาอะไรกินกันแล้วครับ เดินกลับมาที่โบสถ์หลังเก่า (โบสถ์เรือสำเภา) ตลาดน้ำจะอยู่ขวามือครับ อยู่ติดกับลำคลองเลย ถ้าเรามาวัดชลอทางเรือ ท่าเรือจะอยู่หน้าตลาดน้ำเลยครับมีของกินอร่อยๆหลายอย่างเลย
ท่าเรือวัดชลอ ถ้าเราขึ้นเรือมาขวามือไปชมโบสถ์ ซ้ายมือไปตลาดน้ำครับ

วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตลาดน้ำจะคึกคักมาก มีของมาขายเยอะมาก เช่น เครื่องปั้นดินเผา ทุเรียน พันธ์ไม้ดอกไม้ประดับ และของที่ระลึกอื่นๆเอีกมากมาย
และถ้าเป็นของกินไม่ต้องห่วงนะครับ คล้ายๆศูนย์อาหารเลยมีให้เลือกหลากหลายชนิด หอยทอด ผัดไทย ขนมเบื้อง หมูสะเต๊ะ โอเลี้ยงกาแฟโบราณ แนะนำนะครับ ลองหาอาหารที่มีเครื่องปรุงมาจากผักหน่อกะลาเป็นส่วนผสมครับ เป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนนทบุรีครับ เช่นทอดมันหน่อกะลา ทุกอย่างอร่อยๆทั้งนั้นครับ มีทั้งแบบตั้งอยู่เป็นซุ้มอยู่บนบก และที่พายเรือมาขายก็มี

วันที่ผมไปเป็นวันธรรมดาครับ คนน้อยมาก ร้านก็เปิดไม่ครบทุกร้าน แต่ก็ได้บรรยากาศสบายๆ ทานไปชมวิวทิวทัศน์ลำคลอง มองเรือวิ่งผ่านไปผ่านมา มองดูคนมาให้อาหารปลา ปลาเยอะมาก หน้าวัดเป็นเขตอภัยทานครับ ซึ่งผมจะชอบแบบวันธรรมดามากกว่า เงียบสงบดี แม่ค้าอัธยาศัยดีมากครับ พูดคุยกับเราเป็นกันเอง 
วันธรรมดาคนจะน้อยครับ แต่ก็มีมาเรื่อยๆ

ถ้าเป็นเสาร์ อาทิตย์ วันนักขัตฤกษ์ คนจะเยอะมาก วันนี้คนน้อย

ผัดไทยร้านนี้อร่อยมาก ขายทุกวันครับ มีโอกาสลองชิมดูนะครับ

มีแบบพายเรือมาขายด้วยนะ ได้บรรยากาศอีกแบบ 
ผมไปร้านท้ายสุดของตลาด ลองก๋วยเตียวเรืออยุธา อร่อยมาก

วันธรรมดา บรรยากาศสบายๆ พูดแล้วอยากกลับไปอีกครับ
กวีเด่นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นพูดถึงวัดชลอ
                กวีที่มีชื่อเสียงหลายท่านในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้อน เมื่อต้องเดินทางผ่านวัดชะลอก็มักจะแต่งกลอนกล่าวถึงวัดชลอนี้ไว้ครับ แต่งเป็นกลอนแบบนิราศ โดยเฉพาะนิราศพระประธม มีแต่งด้วยกัน 3 ท่าน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท แต่งเมื่อปี พ.ศ 2377  สุนทรภู่แต่งเมื่อปี พ.ศ. 2375  และหลวงประจักรปาณี (ฤกษ์) แต่งปี พ.ศ 2417
                กวีทุกท่านจะเดินทางโดยเรือครับ เริ่มจากที่กรุงเทพ ที่ท่าเรือใกล้บ้าน แล้วมาทางคลองบางกอกน้อย คลองวัดชะลอ เข้าคลองแม่น้ำอ้อม จนถึงบางใหญ่ ไปออกแม่น้ำนครชัยศรี ขึ้นบกที่วัดท่า เพื่อไปกราบไหว้องค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ครับ
                ผมขอยกของ สุนทรภู่ มาอ่านให้ทุกท่านฟังแล้วกันนะครับ เอาเฉพาะตอนที่กล่าวถึงวัดชลอนะครับ จะได้ช่วยย่อยอาหารไปในตัว  หมดแล้วเดี๋ยวสั่งใหม่ได้ครับ กินได้เต็มที่ราคาไม่แพง 
                วัดชลอใครหนอชลอฉลาด
                เอาอาวาสมาไว้อาศัยสงฆ์
                ช่วยชลอวรรักษ์พี่รักทรง
                ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน

ผมเองก็พอแต่งกลอนได้บ้าง ถึงแม้จะไม่ไพเราะเท่านักกลอนท่านอื่นๆ แต่ไหนๆก็ได้มีโอกาสมาไหว้พระถ่ายรูปวัดชลอนี้แล้ว ขอฝากกลอนนี้ไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเราได้เคยมาที่วัดชลอแห่งนี้ครับ
                วัดชลอใครหนอฉลาดเป็นปราชญ์ขลัง
                เอาโบสถ์สวยหลังใหญ่ใส่เรือหงส์
                ช่างงดงามล้ำค่าสง่าองค์
                เป็นพระคงเคร่งกสิณอภิญญา

วัดชลอใครหนอชะลอไว้
โบสถ์หงส์ใหญ่สร้างค้างน่ากังขา
วอนขุนเขาเหล่าเทพปวงเทวา
ช่วยลงมาเปิดทางสร้างสมบูรณ์
มีรถสองแถวต้นสายอยู่ที่วัดชลอด้วยนะครับ 

เรือโดยสารผ่านวัดชลอ

การเดินทางสูวัดชลอ
                การเดินทางมาวัดชะลอ สะดวกมากครับ มาได้ทั้งทางบกและทางน้ำ  ผมเองบ้านอยู่ท่าอิฐ วันที่ผมเดินทางจึงใช้ถนนรัตนาธิเบศร์ พอถึงแยกบางพลูเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบางกรวย ไทรน้อย วัดชลออยู่ขวามือครับ
                ทางน้ำ ลงเรือที่ท่าช้างครับ เลือกเรือสายท่าช้าง บางกอกน้อย บางใหญ่  ขึ้นเรือที่ท่าวัดชลอครับ  ถ้าท่านใดมาทางน้ำได้จะดีมาก เพราะได้ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านสองฝั่งริมคลองมาเรื่อยๆครับ ไม่แน่นะครับ ผมอาจจะได้อ่านนิราศเพราะๆจากท่านที่เดินทางมาทางเรือก็ได้ เพราะกวีเด่นๆในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ใช้เส้นทางนี้แหละครับ
มาเที่ยวกันเยอะๆนะครับ
                แม้ว่าวันนี้โบสถ์เรือสุพรรณหงส์ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็งดงามมากแล้วครับ ผมพบว่าวัดชลอแห่งนี้เป็นวัดที่น่าเที่ยวที่สุดวัดหนึ่งของจังหวัดนนทบุรีเลยครับ เพราะได้ทั้งอิ่มใจจากการชมสถานที่ไหว้พระทำบุญ ยังอิ่มกายจากอาหารอร่อยๆของตลาดน้ำวัดชะลอ เรียกว่าที่กินที่เที่ยวที่เดียวจริงๆ

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เขาสอยดาว จันทบุรี

ระหว่างที่เราเดินทางสู่เป้าหมาย อย่าลืมเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทางให้กับตัวเองบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีวิธีไหนที่ทำให้ตัวเองมีความสุข โดยมีเงิื่อนไขว่า ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศิลธรรม  สำหรับผม การท่องเที่ยว การถ่ายรูป คือความสุขของผมครับ


วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผู้ชนะ คือคนที่แน่วแน่ เท่านั้น

มีบ้างที่หลงทาง แต่เมื่อรู้ตัว ฉันก็กลับสู่เส้นทางเสมอ
มีบ้างที่หยุดพัก  แต่เมื่อหายเหนื่อย ฉันก็ไปต่อเสมอ
มีบ้างที่เดินช้า  แต่ ฉันก็ก้าวเดินไปข้างหน้าเสมอ
มีบ้างที่เคยเปลี่ยนใจ  แต่ ฉันไม่เคยเปลี่ยนเป้าชีวิตของตัวเอง




ไปเวียนเทียนที่วัดสังฆทาน




ไปเวียนเทียนที่วัดสังฆทาน นนทบุรี
            เมื่อวันวิสาขบูชาเวียนมาถึงของทุกรอบปี ชาวพุทธที่ดีจะร่วมกันประกอบพิธีตามหลักของศาสนา เช่น เข้าวัดทำบุญ ฟังธรรม ปล่อยนกปล่อยปลา และอื่นๆในช่วงเช้า ส่วนในช่วงเย็น มีพิธีสำคัญคือการเวียนเทียนรอบปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถานทีสำคัญของวัดที่เราไปเวียนเทียน ผมเองแม้จะไม่ใช่ชาวพุทธที่ดีนักแต่ก็ไม่เคยขาดพิธีนี้ครับ วันวิสาขบูชาปีนี้ผมจะไปเวียนเทียนที่วัดสังฆทาน นนทบุรีครับ และจะเอารูปและบรรยากาศของงานงานมาฝากทุกท่านครับ

            พิธีการเวียนเทียน คือการนำดอกไม้ธูปเทียนไปเดินเวียนรอบปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถาน บางที่เป็นพระพุทธรูป บางที่เป็นพระอุโบสถหรือวิหาร แล้วแต่วัดที่เราไปจัดขึ้นครับ เดินสามรอบครับ เพื่อเป็นการเคารพสถานที่และระลึกถึงคุณของพระรัตนไตร คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์  ไทยเรารับคตินี้มาจากอินเดียพร้อมๆกับการรับศาสานาพุทธมานับถือนั่นและครับ

เดินทางไปวัดสังฆทาน นนทบุรี

            ผมเองไม่ใช่คนนนทบุรีโดยกำเนิด แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว บ้านอยู่ที่ท่าอิฐ อำเภอเมืองนนทบุรี แต่ไม่เคยไปเวียนเทียนที่วัดสังฆทานเลย ถึงแม้วัดจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก ผมใช้บริการรถของ ขสมก. สาย 302 เป็นรถปรับอากาศ ท่าต้นทางก็อยู่ที่ท่าอิฐบ้านผมนั่นเอง วิ่งไปสุดสายที่สนามหลวง ราคา 12 บาท ตลอดสาย ผมลงที่ท่าน้ำนนท์ครับ จากบ้านผมถึงท่าน้ำนนท์ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ต่อจากท่าน้ำนนท์ ผมใช้บริการรถสองแถวเล็กสาย 3 รถวิ่งไปส่งถึงหน้าวัดสังฆทานเลยครับ  ค่าโดยสาร 8 บาท

แวะเที่ยวย่านท่าน้ำนนท์

          15.15 น. ผมมาถึงที่ท่าน้ำนนทบุรี ดูเวลาแล้วมีเวลาเหลือพอที่จะเดินเที่ยวชมบริเวณนี้ได้อีกพักใหญ่ๆเลย สถานที่เด่นๆบริเวณนี้คือ หอนาฬิกาเก่า ศาลากลางเก่าจังหวัดนนทบุรี ท่าเรือด่วน ท่าเรือข้ามฝาก และตัวตลาดท่าน้ำนนท์เองเป็นตลาดเก่าแก่มีมานนานแล้ว เพราะตรงจุดนี้ผู้คนพุกพ่านตลอดวัน เนื่องจากเป็นจุดที่รถเมล์หลายสายผ่าน เป็นชุมทางรถโดยสารเลยครับ แถมเป็นจุดที่เรือโดยสารผ่านเยอะ มีท่าเรือข้ามฝาก เรียกว่าเป็นชุมทางเรือโดยสารก็ว่าได้ คนลงรถต่อเรือ คนขึ้นเรือต่อรถที่นี้สะดวกมาก

ไปที่ท่าน้ำนนท์ ครั้งแรก

            “ พี่ๆ ไปเที่ยวกันไหม “  แฟนสาวของผมโทรมาชวน
            “ ที่ไหนล่ะ “
            “ ท่าน้ำนนท์จ๊ะ “  “ ท่าน้ำมีอะไรดูเหรอ “  “ หอนาฬิกา “ 
ไปดูหอนาฬิกานี่นะ แต่ไม่มีปัญหากับผมอยู่แล้ว ไปไหนก็ได้ขอให้ได้อยู่ไกล้ๆเธอเป็นพอ  ตอนนั้นบ้านของเราอยู่บางนา จากบางนามาที่นี้ก็ไกลมาก ได้นั่งรถเมล์ข้างเธอนานๆ ผมก็มีความสุขมากแล้ว พวกเรามีปัญญาไปเที่ยวไกลๆได้แค่นี้แหละครับ เราสองคนไปถึงท่าน้ำนนท์ก็เวลาช่วงนี้และครับ บ่ายสามกว่าๆ  แต่รถไมวิ่งผ่านท่าน้ำนนท์เราต้องลงเดินผ่านตลาดเก่าก่อนถึงท่าน้ำนนท์
            “ พี่ รู้ไหม วันนี้เป็นวันอะไร “  “ วันเสาร์ไง เราถึงหยุดงานมาเที่ยวได้ “   “ ไม่ใช่วันแบบนี้ วันพิเศษน่ะ “  เธอยังคงถามต่อ
             ผมคิดในใจ  " วันพิเศษอะไรนะ วันเกิดเธอก็ไม่ใช่ แล้วมันวันอะไรล่ะ ตายห่าแล้ว  วันนี้วันวาเลนไทม์  ทำไงดี "  ผมเริ่มเดินช้าลงปล่อยให้เธอเดินขึ้นหน้าไปก่อน สายตาเริ่มมองหาดอกกุหลาบ ผมเจออยู่ร้านหนึ่งเหลือดอกเหี่ยวๆอยู่สองดอกเพราะดอกสวยๆเขาคงขายหมดในช่วงเช้าแล้ว เอาก็เอา  ผมซื้อแล้วซ่อนไว้ในเสื้อแม้จะโดนหนามกุหลาบแทงแถวๆหน้าอกบ้างก็ไม่เป็นไร  ผมจำเหตุการณ์นั้นได้ดี แม้เวลาจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ถึงแม้วันนี้เธอจะจากผมไปนานกว่าสิบปีแล้ว เพราะมันคือครั้งแรกในชีวิตของผมที่ผมมีโอกาสเที่ยวกับแฟน และมันเป็นรักแรกของผม  วันนี้ที่ท่าน้ำนนท์ยังเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ผมไปคนเดียวครับ

หอนาฬิกา ท่าน้ำนนท์


            หอนาฬิกาท่าน้ำนนท์ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยเทศบาลเมืองนนทบุรี ถึงวันนี้หอนาฬิกามีอายุ 57 ปีแล้ว เป็นพี่ผม 10 ปี แต่ยังทำหน้าที่บอกเวลาให้กับผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาแถวนั้นได้เป็นอย่างดี  เชื่อไหมครับ ตัวเรือนของนาฬิกาเป็นยี่ห้อ Tag Heuer นาฬิกายี่ห้อดังและราคาแพงของโลก และถือว่าเป็น Tag Heuer เรือนใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ถ้าเรามองขึ้นไปเหนือตัวเรือนนาฬิกา เราจะเห็นรูปปั้นไก่ยืนตระหง่าน เดิมทีไม่มีหรอกครับ แต่มีตอนไหนไม่รู้ มีบางกระแสบอกว่า รูปไก่เป็นสัญญลักษณ์ของพรรคการเมืองท้องถิ่นที่มีอำนาจบริหารเทศบาลเมืองนนท์สร้างไว้ แต่ก็ฟังหูไว้หูนะครับ ไม่รู้ว่าเรื่องจริงๆจะเป็นยังไง ใครมีข้อมูลเรื่องนี้ก็แบ่งปันกันบ้างนะครับ

หอนาฬิกาท่าน้ำนนท์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 57 ปีแล้ว แต่ยังทำหน้าที่บอกเวลาได้เป็นอย่างดี
บางมุม ของหอนาฬิกา
ตัวเรือนนาฬิกาเป็นยี่ห้อ Tag Heuer ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย



เดิมที หอนาฬิกา ไม่มีรูปปั้นไก่อยู่ข้างบนครับ















       ศาลากลางหลังเก่าของจังหวัดนนทบุรี


            เดิมทีก่อนที่จะใช้เป็นศาลากลางจังหวัด เป็นโรงเรียนมาก่อนครับ ชื่อว่าโรงเรียนราชวิทยาลัย ของกระทรวงยุติธรรม เป็นโรงเรียนประจำเพื่อเน้นสอนภาษาอังกฤษแก่นักเรียนที่จะไปเป็นผู้พิพากษา ซึ่งต้องศึกษากฎหมายเป็นตำราจากต่างประเทศ
            ศาลากลางเก่าหลังนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2454 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6  สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นโรงเรียนอย่างที่กล่าวไว้นั่นแหละครับ หลังใหญ่มาก กว้าง 11.55 เมตร ยาว 287.4 เมตร เฉพาะตัวอาคารมีเนื้อที่ 2 ไร่กว่าเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างใช้เป็นที่เรียยนชั้นบนใช้เป็นเรือนนอนของนักเรียน
            ตัวอาคารทำด้วยไม้สักทั้งหลัง เป็นศิลปะทรงยุโรปยุคแรกสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ( ทรงไทยประยุกต์ ) ตัวอาคารทาสีไข่ไก่ ประตูหน้าต่างทาสีเขียว หลังคามุงด้วยกระเบื้องลูกฝูก ประดับด้วยงานไม้ลายวิจิตรสร้างแบบพิเศษฝีมืองานไม้ประณีตมาก และด้วยความงดงามของศาลากลางหลังนี้จึงเป็นหนึ่งในคำขวัญประจำจังหวัดนนทบุรี ท่อนที่ว่า “ งามน่ายลศูนย์ราชการ “ จากคำชวัญเต็มๆว่า พระตำหนักสง่างาม ลือนามสวนสมเด็จ เกาะเกร็ดแหล่งดินเผา วัดเก่านามระบือ เลื่องลือทุเรียนนนท์ งามน่ายลศูนย์ราชการ  กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติตั้งแต่ พ.ศ. 2524 แล้วครับ
            ใช้เป็นโรงเรียนเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2469 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ 7 ได้ยุบโรงเรียนนี้ไปรวมกับโรงเรียนวชิราวุธที่กรุงเทพ ต่อจากนั้นอีก 2 ปี คือปี พ.ศ. 2471 ได้ใช้อาคารหลังนี้เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ใช้เป็นศาลากลางเรื่อยมาจนสร้างศาลากลางหลังใหม่ขึ้นในปี 2536 ครับ  ปัจจุบันอาคารหลังนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดนนทบุรี เสียดายผมมีเวลาน้อย ไม่ได้เข้าไปชมด้านใน เอาไว้คราวหน้าจะพาเข้าไปชมครับ 
ศาลากลางหลังเก่านนทบุรี ด้านหน้าเป็นสถานที่พักผ่อน ติดแม่น้ำเจ้าพระยา

ด้านหน้าอาคาร ตอนเย็นจะมีของกินอร่อยๆมาขายเยอะมาก 

เห็นแล้วนึกถึงครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ครับ ของกินอร่อยและราคาถูก













ท่าน้ำนนท์


            ท่าน้ำนนท์ หรือท่าน้ำพิบูลสงคราม 3 เป็นท่าเรือด่วนและท่าเรือข้ามฝาก ตั้งอยู่ด้านหน้าศาลากลางเก่า  ที่นี่ผู้คนจะคึกคักตลอดทั้งวัน เพราะเป็นท่าที่เรือด่วนจอดทุกสาย และเป็นจุดเชื่อมต่อรถโดยสารหลายสายเลยครับ เรียกว่าเป็นชุมทางทั้งทางบกทางน้ำก็ว่าได้ 
            ดูเวลาแล้ว ผมต้องรีบไปวัดสังฆทานแล้วครับ ไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศของวัดไว้ก่อนเสร็จแล้วเวียนเทียนต่อเลย ฝากรูปบริเวณท่าน้ำนนท์ไว้ให้ดูครับ

ท่าเรือข้ามฝาก

ผู้คนคึกคักตลอดวัน จุดรวมการเดินทางทั้งทางน้ำและทางบก

เรือด่วนจอดเทียบท่า รอผู้โดยสาร

ฝั่งตรงข้ามของท่าน้ำนนท์ครับ

สภาพอากาศในวันนั้นช่วงเกือบสี่โมงเย็น

ตัวอาคารท่าน้ำนนท์ มองจากจุดท่าเรือข้ามฝาก

เดินมารอรถสองแถวเล็กสาย 3 ก็มาเจอหลักหินบอกปีสร้างเมืองนนท์

ผมยืนรถรถสองแถวจุดนี้แหละครับ

มุ่งสู่วัดสังฆทาน

            วัดสังฆทาน ตั้งอยู่ที่ 100/1 หมู่ 3 ต.บางไผ่  อ.เมือง จ.นนทบุรี  เดิมเป็นวัดร้าง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างมานานแล้ว อายุน่าจะเกิน 100 ปี แต่ไม่พบบันทึกประวัติของวัด ได้แต่ฟังจากคำพูดของคนรุ่นเก่าที่มีอายุมากๆบ้านอยู่แถววัดเล่าให้ฟัง อายุคนเล่าก็เกิน 80 แล้ว บอกว่าเกิดมาก็เห็นวัดนี้แล้ว เป็นวัดร้างอยู่กลางป่า เคยมีพระมาจำพรรษาบ้างแต่ไม่มีองค์ไหนอยู่ได้ บางองค์ถึงกับมรณภาพก็มี
            ถึงแม้จะเป็นวัดร้าง แต่มีพระพุทธรูปที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกท่าน “ หลวงพ่อโต “ ศักดิ์สิทธิ์มาก ( เสียดายผมไม่ได้รูปมาเนื่องจากฝนตกหนักลงมาก่อน ) ชาวบ้านบนบานขออะไรก็จะได้สมใจหมายทุกครั้งไป แก้บนด้วยประทัด  ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ ชาวบ้านนิยมถวายสังฆทานต่อหน้าท่าน โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดอื่นมาทำพิธีรับสังฆทานที่วัดนี้ ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดสังฆทาน ติดปากมาถึงทุกวันนี้
            เป็นวัดร้างมานานกว่า 100 ปี จนปี พ.ศ. 2511 หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ ธุดงค์มาพบเข้า และเห็นว่าเหมาะที่จะเป็นวัดป่าปฏิบัติธรรมเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ตอนนั้นหลวงพ่อรู้ว่าตัวท่านเองบารมียังไม่ถึงที่จะครองวัดนี้ จึงกลับไปบำเพ็ญเพียร อยู่ตามถ้ำ ตามป่าอีก 6 ปี  ในปี 2517 หลวงพ่อก็กลับมาครองวัดนี้ หลังจากนั้นวัดนี้ก็ได้รับการพัฒนามาจนทุกวันนี้
          วัดสังฆทานเป็นวัดที่มุ่งเน้นปฏิบัติธรรม ตามวิธีของพระป่าพระธุดงค์นั่นแหละครับ มุ่งไปที่การทำสมาธิกรรมฐาน พัฒนาจิตใจ ไม่มีวัตถุมงคลจำหน่ายให้เช่าบูชา มีแต่หนังสือธรรมะกับซีดีธรรมะครับ จุดเด่นอยู่ที่พระอุโบสถที่เป็นเรือนกระจกแปดเหลี่ยม มีหลวงพ่อโตองค์ศักดิสิทธิ์เป็นพระประธานโบสถ์ ทุกวันนี้ยังมีผู้คนไปกราบไหว้ขอพรกันอยู่มาก แต่ไม่มีพิธีแก้บนด้วยประทัดแล้ว หลวงพ่อสนอง ท่านขอไว้ เพราะเสียงของประทัดจะไปทำลายสมาธิของพระหรือผู้ที่มาปฏิบัติธรรม

            16.30 น. ผมมาถึงวัดสังฆทาน แต่พิธีเวียนเทียนเริ่มไปแล้วครับและกำลังจะจบลง ผมเพิ่งรู้ว่า วัดสังฆทานจัดพิธีเวียนเทียนสองรอบ จากเสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงของวัด รอบแรกน่าจะ 16.00 น. อีกรอบจะมีขึ้นในเวลา 20.00 น. ผมรอรอบสองทุ่มดีกว่า ตอนนี้ผมก็เดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อย ๆ ไปชมวัดนี้ด้วยกันนะครับ


พิธีเวียนเทียนรอบแรก 16.00 น.


คนเยอะมากครับ ส่วนใหญ่ก็ถือโอกาสนี้ค้างคืนปฏิบัติธรรมเลย

ผมไปถึงวัด พิธีเวียนเทียนเป็นรอบที่สามแล้วครับ

พิธีเวียนเทียนจบแล้วครับ


เอาธูปเทียนดอกไม้ไปปักไว้ยังจุดที่ทางวัดกำหนดให้ครับ

เห็นพลังศรัทธาชาวพุทธแล้ว อนุโมทนาบุญด้วยครับ

ตรงนี้เป็นลานปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกลม ฟังธรรม

คนเยอะมากๆ มีทุกเพศทุกวัย

ระหว่างรอเวลาเวียนเทียนรอบสองทุ่ม


            ผมยังคงเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ รอบๆบริเวณของวัด แต่ตอนนี้เริ่มมีลมพัดแรง เมฆฝนเริ่มครึ้มหนาตัวขึ้น  เราจะได้เวียนเทียนรอบสองทุ่มหรือเปล่านะ ไปดูรอบๆวัดกันครับ เดี๋ยวค่อยเข้าไปกราบหลวงพ่อโตขอพรกัน ตอนนี้ในโบสถ์คนแน่นมาก






รูปขบวนรถแห่อัญเชิญพระสารีริกธาตุ ของวัดสังฆทาน จอดอยู่หน้าวัดครับ ข้อมูลไม่ชัดเจนเห็นเขาบอกว่า ทางวัดจะอัญเชิญพระสารีริกธาตุไปให้ประชาชนกราบไหว้ที่หอประชุมเอนกประสงค์ที่ท่าน้ำนนท์ เวลาอันเชิญพระสาริกธาตุกลับวัด จะมีขบวนแห่อัญเชิญสวยงามมาก จัดอยู่ช่วงวันวิสาขบูชานี่แหละครับ จะก่อนหรือหลังไม่แน่ใจ ท่านใดมาอ่านเจอเข้าช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยนะครับ

พระอุโบสถเป็นเรือนกระจกแปดเหลี่ยม หลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์เป็นพระประธานครับ

กุฏิทรงไทย สวยงามมาก ทำด้วยไม้สักทั้งหลัง ตอนนี้ใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศพหลวพ่อสนอง กตปุญโญ อดีตเจ้าอาวาสผู้พัฒนาวัดสังฆทาน เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านละสังขารเมื่อ 24 สิงหาคม 2555 

ที่พักแม่ชี้ หรือผู้หญิงที่มาปฏิบัติธรรม อยู่ติดกับกุฏิทรงไทย

ดูเมฆฝนสิครับ อย่างนี้ฝนตกแน่ๆ ตอนนั้นลมเริ่มพัดแรงด้วย 

อีกมุมหนึ่งของกุฏิทรงไทย 

ทางเดินไปชมกุฏิทรงไทย ร่มรืนมาก ต้นไม้ใหญ่เยอะมากครรับ


ฝนจากฟ้าเย็นกาย เย็นฉ่ำใจด้วยฝนแห่งธรรม

            17.05 น. ฝนก็เทลงมา ไล่ผมไปหลบฝนอยู่ในเต็นท์ใหญ่หน้าวัด เพิ่งมาถึงได้แค่ 30 นาทีเอง ยังเดินไม่ทั่ววัดเลย ยังไม่ได้ไปกราบหลวงพ่อเลย ฝนก็ลงมาตกหนักเสียด้วย แต่ผมก็ยังไม่หยุดถ่ายรูปนะครับ มองดูว่าอะไรถ่ายได้บ้าง อยากถ่ายตอนฝนตกมานานแล้ว
            ขณะที่ผมกำลังมองหามุมถ่ายรูป เสียงแตรของรถสองแถวเล็กที่จอดหน้าวัดก็ดังขึ้น เหมือนจะถามว่า จะมีใครไปด้วยไหม  ผมตัดสินใจวินาทีนั้นเอง กลับก่อนดีกว่าวันหลังมาใหม่ ตกหนักแบบนี้คงหยุดยาก  เก็บกล้องใส่กระเป๋ากล้องไม่ทันด้วยซ้ำ ได้แต่เอากล้องเข้าไปซุกไว้ใต้เสื้อแล้วเอาตัวบังไม่ให้ฝนตกโดนกล้อง วิ่งผ่าสายฝนไปขึ้นรถสองแถวเล็กคันนั้น
          รถสองแถวออกตัววิ่งผ่าสายฝนออกไปเกือบจะพ้นทางเข้าวัดแล้ว ผมหันกลับไปมองวัดสังฆทานผ่านสายฝนที่ตกลงมา ลมพัดยอดไม้เหนือวัดโอนเอนไหวไปมา แม้ผมยังไม่ได้ไหว้พระ ยังไม่ได้เวียนเทียน แต่ใจผมสบายยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก

            วันวิสาขบูชา วันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เกิดขึ้นตรงกันในวันเดียวกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ผมขอน้อมรำลึกถึงพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ขององค์พระศาสดาของศาสนาพุทธ ตรงนี้แล้วกัน สาธุ 

ในที่สุดฝนก็ตกลงมา 

เย็นกายด้วยสายฝน เย็นใจด้วยสายธรรม

ฝนเริ่มตก ทุกคนหาที่หลบฝน 

อีกหลายวันต่อมา ได้มีโอกาศไปที่วัด เก็บรูปมาฝากเพิ่มเติม